 
                                    KPI กับงานบริการ
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความเข้มข้นมากขึ้น การให้บริการที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน หน่วยงานหรือองค์กรที่มุ่งเน้นในการให้บริการต้องคำนึงถึงการวัดผลความสำเร็จในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการวัดผลการทำงานคือ KPI หรือ Key Performance Indicators
KPI คืออะไร?
KPI (Key Performance Indicators) คือ ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร หรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่ง KPI เป็นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ โดยที่ KPI จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่องค์กรต้องการบรรลุ ตัวชี้วัดเหล่านี้สามารถแสดงถึงความก้าวหน้าและผลลัพธ์ของการทำงานที่ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านยอดขาย ความพึงพอใจของลูกค้า หรือประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ความสำคัญของ KPI ในงานบริการ
ในธุรกิจที่ให้บริการ KPI มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้องค์กรหรือหน่วยงานสามารถวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้านล่างนี้เป็นเหตุผลที่ KPI มีความสำคัญในงานบริการ:
- 
การปรับปรุงประสิทธิภาพ: KPI ช่วยให้องค์กรสามารถระบุจุดอ่อนในการให้บริการและปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวัดผลที่ชัดเจนทำให้ทีมงานทราบถึงปัญหาและสามารถหาแนวทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว 
- 
การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า: การใช้ KPI ที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของลูกค้า ช่วยให้องค์กรทราบถึงความต้องการของลูกค้าและสามารถปรับเปลี่ยนบริการให้ตรงกับความคาดหวังของลูกค้าได้ 
- 
การสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน: การที่พนักงานทราบว่าองค์กรมีการวัดผลการทำงานโดยใช้ KPI จะทำให้พวกเขามีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองและทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด 
- 
การตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน: KPI ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้บนพื้นฐานของข้อมูลและผลลัพธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การคาดเดาหรือความรู้สึก ทำให้การตัดสินใจมีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
การออกแบบและเลือกใช้ KPI ในงานบริการ
การออกแบบและเลือกใช้ KPI ที่เหมาะสมสำหรับงานบริการเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การวัดผลมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรพิจารณาดังนี้:
- 
ระบุเป้าหมายขององค์กร: เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายขององค์กรอย่างชัดเจน เช่น การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การลดเวลาในการตอบสนอง หรือการเพิ่มยอดขาย เป็นต้น จากนั้นจึงกำหนด KPI ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเหล่านี้ 
- 
เลือกตัวชี้วัดที่วัดผลได้: KPI ที่ดีควรสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การวัดระยะเวลาการตอบสนองต่อคำร้องของลูกค้า การประเมินความพึงพอใจของลูกค้า หรือการวัดอัตราการร้องเรียน 
- 
การติดตามและปรับปรุง: การติดตามผลลัพธ์ของ KPI เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อตรวจสอบว่าการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ควรพิจารณาปรับปรุงกระบวนการหรือ KPI ที่ใช้ให้เหมาะสม 
- 
การสื่อสารและฝึกอบรม: ควรมีการสื่อสารให้พนักงานทุกคนทราบถึง KPI ที่ถูกกำหนดและเป้าหมายที่องค์กรต้องการบรรลุ การฝึกอบรมพนักงานในการเข้าใจและใช้ KPI อย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม 
ตัวอย่าง KPI ที่ใช้ในงานบริการ
- 
ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score - CSAT): วัดจากการสำรวจหรือสอบถามลูกค้าถึงความพึงพอใจที่มีต่อบริการขององค์กร 
- 
เวลาตอบสนอง (Response Time): วัดระยะเวลาที่ใช้ในการตอบสนองต่อคำร้องหรือการติดต่อจากลูกค้า 
- 
อัตราการแก้ไขปัญหาครั้งแรก (First Contact Resolution - FCR): วัดความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของลูกค้าในการติดต่อครั้งแรก 
- 
อัตราการร้องเรียน (Complaint Rate): วัดจำนวนการร้องเรียนที่ได้รับจากลูกค้าต่อจำนวนลูกค้าทั้งหมด 
- 
ค่าใช้จ่ายต่อการบริการ (Cost Per Service): วัดค่าใช้จ่ายที่องค์กรใช้ในการให้บริการต่อลูกค้าหนึ่งราย 
ให้บริการ ระบบประเมิน และ แบบสอบถาม
                                            
                                            
                                            เพียงคุณมี Android Tablet รองรับระบบปฏิบัติการ Android 7.0 เป็นต้นไป สามารถนำมาทำเป็นเครื่องประเมินความพึงพอใจได้ง่ายๆ
                                            
                                        
สมัครสมาชิก ทดลองสร้างแบบประเมินได้ฟรี 14 วัน
ดูคำแนะนำการทลองใช้งานสอบถามบริการ หรือ ปรึกษาการใช้งานระบบ
เบอร์โทรศัพท์ : 084-768-0670Line OA : @surveyslash

 
                    